เมนู

เรื่องนั้น. ส่วนโดยพิสดาร เรื่องนี้มาแล้วในคัมภีร์ขันธกะ. ภายหลัง
ต่อมา พระศาสดาเมื่อทรงสถาปนาเหล่าอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ
ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้นี้ไว้ในตำแหน่งเลตทัคคะเป็นเลิศกว่า
พวกอุบาสิกา ผู้ถึงสรณะ
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2


2. ประวัตินางวิสาขามิคารมารดา



ในสูตรที่ 2 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ทายิกานํ ท่านแสดงว่า นางวิสาขามิคารมารดา
เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดียิ่งในการถวายทาน.
ดังได้สดับมานางวิสาขานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุทุมุตตระ
บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมา กำลังฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในการถวายทาน จึงทำกุศลให้ยิ่ง
ยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์
ถึงแสนกัป ครั้งพระพุทธเจ้าพระนานร่า กัสสปะ บังเกิดเป็นราชธิดาองค์
น้องน้อยกว่าเขาทั้งหมด แห่งพระราชธิดาพี่น้อง 7 พระองค์ ในพระ-
ราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิงกิ. ก็ครั้งนั้น พระราชธิดาพี่น้อง 7 พระองค์คือ
สมณี สมณคุตตา ภิกขุนี ภิกขุทาสิกา ธัมมา สุธัมมา และสังฆทาสี
ครบ 7. พระราชธิดาเหล่านั้น ในบัดนี้ [ครั้งพุทธกาล] คือพระเขมา

พระอุบลวรรณา พระปฏาจารา พระโคตมี พระธรรมทินนา พระนาง
มหามายา และนางวิสาชา ครบ 7.
บรรดาพระราชธิดาเหล่านั้น พระนางสังฆทาสีเวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ถึงพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในครรภ์
ของนางสุมนเทวีภริยาหลวงของธนัญชัยเศรษฐี บุตรของเมณฑกเศรษฐี
ภัททิยนคร แคว้นอังคะ. บิดามารดาได้ตั้งชื่อนางว่าวิสาขา. เวลานาง
มีอายุได้ 7 ขวบ พระทศพลทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของเสลพราหมณ์
และเหล่าสัตว์พวกจะตรัสรู้อื่น ๆ มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จจาริกไป
ถึงนครนั้น ในแคว้นนั้น.
สมัยนั้น เมณฑกคฤหบดี เป็นหัวหน้าของเหล่าผู้มีบุญมาก 5 คน
ครองตำแหน่งเศรษฐี. เหล่าผู้มีบุญมาก 5 คน คือ เมณฑกเศรษฐี 1
ภริยาแสวงของเขา ชื่อจันทปทุมา 1 บุตรของเขา ชื่อธนัญชัย 1 ภริยา
ของธนัญชัยนั้น ชื่อสุมนเทวี 1 ทาสของเมณฑกเศรษฐี ชื่อปุณณะ 1.
มิใช่แต่เมณฑกเศรษฐีอย่างเดียวดอก ถึงในราชอาณาจักรของพระเจ้า-
พิมพิสาร ก็มีบุคคลผู้มีโภคสมบัตินับไม่ถ้วนถึง 5 คน คือ โชติยะ
ชฏิละ เมณฑกะ ปุณณะ และกากพลิยะ. บรรดาคนทั่ง 5 นั้น
เมณฑกเศรษฐีนี้ ทราบว่าพระทศพลเสด็จมาถึงนครของตน จึงเรียก
เด็กหญิงวิสาขา ธิดาธนัญชัยเศรษฐี ผู้เป็นบุตรมาแล้วสั่งอย่างนี้ว่า
แม่หนู เป็นมงคลทั้งเจ้า ทั้งปู่ เจ้าจงพาเกวียน 500 เล่ม พร้อมด้วย
เด็กหญิง 500 คน บริวารของเจ้ามีทาสี 500 นาง เป็นบริวาร จงทำ
การรับเสด็จพระทศพล. นางฟังคำของปู่ ก็ปฏิบัติตาม. แต่เพราะนาง
เป็นผู้ฉลาดในเหตุและมิใช่เหตุ นางก็ไปด้วยยาน เท่าที่พื้นที่ยานจะไป

ได้แล้ว ก็ลงจากยานเดินไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ยืน ณ ที่
สมควรส่วนหนึ่ง. ครั้งนั้น พระศาสนาทรงแสดงธรรมโปรดด้วยอำนาจ
จริยาของนาง. จบเทศนา นางก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับ
เด็กหญิง 500 คน แม้เมณฑกเศรษฐี ก็เข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระศาสดา
แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรด ด้วย
อำนาจจริยาของเศรษฐีนั้น. จบเทศนา เมณฑกเศรษฐีก็ดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล อาราธนาพระศาสดา เพื่อเสวยในวันพรุ่ง. วันรุ่งขึ้น
ก็เลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยอาหารอย่างประณีต
ในนิเวศน์ของตน ได้ถวายมหาทานโดยอุบายนั้น ครึ่งเดือน. พระศาสดา
ประทับอยู่ ณ ภัททิยนคร ตามพุทธอัธยาศัยแล้วก็เสด็จหลีกไป. พึง
วิสัชนากถามรรคอื่นต่อจากนี้แล้ว กล่าวเรื่องการเกิดของนางวิสาขา.
จริงอยู่ ในกรุงสาวัตถี พระเจ้าโกศลทรงส่งข่าวสาสน์ไปยังสำนัก
ของพระเจ้าพิมพิสารว่า ในราชอาณาเขตของหม่อมฉัน ชื่อว่า สกุลที่ได้
โภคสมบัตินับไม่ถ้วนไม่มีเลย สกุลที่ได้โภคสมบัตินับไม่ถ้วนของพระองค์
มีอยู่ ขอได้โปรดทรงส่งสกุลที่ได้โภคสมบัตินับไม่ถ้วนไปให้หม่อมฉัน
ด้วยเถิด. พระราชาทรงปรึกษากับเหล่าอำมาตย์. เหล่าอำมาตย์ปรึกษากัน
ว่า ไม่อาจส่งสกุลใหญ่ ๆ ไป แต่เราจะส่งเฉพาะบุตรเศรษฐีคนหนึ่งไป
จึงขอร้องธนัญชัยเศรษฐี บุตรเมณฑกเศรษฐี. พระราชาทรงสดับคำ
ปรึกษาของอำมาตย์เหล่านั้น ก็ทรงส่งธนัญชัยเศรษฐีไป. ครั้งนั้น
พระเจ้าโกศลพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้เขาอยู่ในนครสาเกต ท้าย
กรุงสาวัตถีไป 7 โยชน์. ก็ในกรุงสาวัตถี บุตรของมิคารเศรษฐี ชื่อ
ปุณณวัฒนกุมารเจริญวัยแล้ว. ขณะนั้น บิดาของเขารู้ว่า บุตรของเรา

เจริญวัยแล้ว เป็นสมัยที่จะผูกพันด้วยฆราวาสวิสัย จึงส่งคนทั้งหลายผู้ฉลาด
ในเหตุและมิใช่เหตุไป ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงเสาะหาเด็กหญิงในสกุล
ที่มีชาติเสมอกับเรา. คนเหล่านั้นไม่พบเด็กหญิงที่ต้องใจตนในกรุงสาวัตถี
จึงพากันไปนครสาเกต.
วันนั้นนั่นเอง วิสาขามีหญิงสาว 500 คน ที่มีวัยรุ่นเดียวกัน
แวดล้อม พากันไปยังบึงใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อเล่นนักษัตรฤกษ์ คนแม้
เหล่านั้น เที่ยวไปภายในนคร ก็ไม่พบเด็กหญิงที่ถูกใจคน จึงยืนอยู่
นอกประตูเมือง. ขณะนั้น ฝนเริ่มตก. เหล่าเด็กหญิงที่ออกไปกับ
นางวิสาขาก็รีบเข้าศาลา เพราะกลัวเปียกฝน. คนเหล่านั้นไม่พบเด็กหญิง
ตามที่ปรารถนา ในระหว่างเด็กหญิงเหล่านั้น. แต่นางวิสาขาอยู่ข้างหลัง
เด็กหญิงเหล่านั้นทั้งหมด ไม่นำพาฝนที่กำลังตก เปียกปอนเข้าไปยังศาลา
เพราะไม่รีบเดิน. คนเหล่านั้นเห็นนางแล้วก็คิดว่า เด็กหญิงคนนี้สะสวย
ยิ่งกว่าแม้เด็กหญิงคนอื่น ๆ ก็รูปนี้นั้นเป็นสิ่งที่หญิงบางพวกตกแต่งได้
เหมือนช่างทำรถ ตกแต่งล้อรถได้ฉะนั้น จึงกล่าวต่อไปว่า จำเราจำต้อง
รู้ว่า เด็กหญิงคนนี้พูดไพเราะหรือไม่. ดังนั้นจึงกล่าวกะนางว่า แม่หนู
เจ้าเหมือนกับสตรีที่มีวัยเป็นผู้ใหญ่ฉะนั้น. นางจึงถามว่า พ่อท่าน
พวกท่านเห็นอะไรจึงกล่าว. คนเหล่านั้นตอบว่า หญิงสาวที่เล่นกับเจ้า
คนอื่น ๆ รีบมาเข้าศาลา เพราะกลัวเปียกฝน ส่วนเจ้าเหมือนหญิงแก่
ไม่รีบสาวเท้ามา ไม่นำพาว่าผ้าจะเปียก ถ้าช้างหรือท้าไล่ตามเจ้าอย่างนี้
นี่แล เจ้าจะทำอย่างไร. นางกล่าวว่า พ่อท่าน ขึ้นชื่อว่าผ้าหาได้ไม่ยาก
ในสกุลของฉันหาได้ง่าย ส่วนผู้หญิงเจริญวัยแล้ว ก็เป็นเหมือนสินค้าที่
เขาขาย เมื่อมือหรือเท้าหักไป คนทั้งหลายเห็นผู้หญิงที่เรือนร่างบกพร่อง

ก็รังเกียจ ถ่มน้ำลายหนีไป เพราะเหตุนั้น ฉันจึงค่อย ๆ เดินมา
คนเหล่านั้นคิดว่า ชื่อว่า หญิงในชมพูทวีปนี้ไม่มี จะเทียบกับ
เด็กหญิงคนนี้ ไม่มีที่จะเทียบกัน ทั้งรูปทั้งคำพูด รู้เหตุและมิใช่เหตุ
แล้วจึงพูด ดังนี้แล้วก็เหวี่ยงพวงมาลัยไปบนนาง. ขณะนั้น นางวิสาขา
คิดว่า เราไม่ถูกเขาหวงแหนมาก่อน แต่บัดนี้ เราถูกเขาหวงแหนแล้ว
จึงนั่งลงที่พื้นดินโดยอาการที่จะถูกเขานำไปแล้ว. ครั้งนั้น คนทั้งหลาย
จึงเอาท่านกั้นล้อมนางไว้ตรงนั้นนั่งเอง. นางรู้ว่าเขาปิดกั้นไว้ ก็มีหมู่ทาสี
ห้อมล้อมกลับไปเรือน. คนของมิคารเศรษฐีเหล่านั้น ก็พากันไปสำนัก
ธนัญชัยเศรษฐีพร้อมกับนาง เมื่อเศรษฐีถามว่า พ่อคุณ พวกท่านเป็น
ชาวบ้านไหน ก็ตอบว่า พวกเราเป็นคนของมิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี
ทราบว่า ที่เรือนท่านมีเด็กหญิงเจริญวัยแล้ว ท่านจึงส่งพวกเรามา
ธนัญชัยเศรษฐีกล่าวว่า ดีละ พ่อคุณ เศรษฐีของพวกท่านเทียบกับ
เราไม่ได้ทางโภคสมบัติก็จริง แต่ก็เท่าเทียมกันโดยชาติ. ธรรมดาว่า
คนที่เพียบพร้อมด้วยอาการทุกอย่าง หาได้ยาก. พวกท่านจงไปบอก
เศรษฐีว่า เรายอมรับ. คนเหล่านั้นสดับคำของธนัญชัยเศรษฐีนั้นแล้ว
ก็กลับไปกรุงสาวัตถี แจ้งความยินดีและความเจริญแก่มิคารเศรษฐีแล้ว
กล่าวว่า นายท่าน พวกเราได้เด็กหญิงในเรือนของธนัญชัยเศรษฐีแล้ว
มิคารเศรษฐีฟังดังนั้น ก็ดีใจว่า พวกเราได้เด็กหญิงในเรือนของสกุลใหญ่
จึงส่งข่าวไปบอกธนัญชัยเศรษฐีทันทีว่า บัดนี้เราจักนำเด็กหญิงมา โปรด
กระทำกิจที่ควรทำเสีย. แม้ธนัญชัยเศรษฐีก็ส่งข่าวตอบมิคารเศรษฐีไปว่า
เรื่องนี้ไม่เป็นการหนักสำหรับเราเลย เศรษฐีโปรดการทำกิจที่ควรทำ
สำหรับคนเถิด. มิคารเศรษฐีจึงไปเข้าเฝ้าพระเจ้าโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่

เทวะ. เด็กหญิงผู้มีกิริยาเป็นมงคลแก่ข้าพระองค์มีอยู่คนหนึ่ง เด็กหญิงนั้น
ชื่อวิสาขา ธิดาของท่านธนัญชัยเศรษฐี ข้าพระองค์จักนำมาให้แก่
ปุณณวัฒนกุมาร ทาสของพระองค์ ขอทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์
ไปนครสาเกตเถิดพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ดีละท่านเศรษฐี ถึงเรา
ก็ควรจะมาด้วยมิใช่หรือ. เศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระองค์
จะบังอาจให้บุคคลเช่นพระองค์เสด็จได้อย่างไรเล่า. พระราชามีพระราช-
ประสงค์จะทรงสงเคราะห์สกุลใหญ่ ทรงรับว่า อาเถิด ท่านเศรษฐี
เราจักมาด้วย แล้วก็เสด็จไปยังนครสาเกตพร้อมด้วยมิคารเศรษฐี.
ธนัญชัยเศรษฐีรู้ว่า มิคารเศรษฐีพาพระเจ้าโกศลมาด้วย จึงออกไป
รับเสด็จ พาพระราชาไปยังนิเวศน์ของตน. ทันใดนั้นเอง ก็จัดสถาน
ที่อยู่ และมาลัยของหอมเป็นต้น ไว้พร้อมสรรพ สำหรับพระราชา สำหรับ
ทหารของพระราชา และสำหรับมิคารเศรษฐี รู้กิจทุกอย่างด้วยตนเองว่า
สิ่งนี้ควรได้แก่ผู้นี้ สิ่งนี้ควรได้แก่ผู้นี้. ชนนั้น ๆ ก็คิดว่า ท่านเศรษฐี
กระทำสักการะแก่เราเท่านั้น. ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาทรงส่งข่าวไปบอก
ธนัญชัยเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐีไม่อาจจะเลี้ยงดูพวกเราได้นาน ๆ ขอท่าน
เศรษฐีจงกำหนดเวลาที่เด็กหญิงจะไปเถิด. แม้ธนัญชัยเศรษฐี ก็ส่งข่าว
ถวายพระราชาว่า บัดนี้ฤดูฝนมาถึงแล้ว ทหารของพระองค์จะเที่ยวไป
ตลอด 4 เดือนคงไม่ได้ กิจใด ๆ ควรจะได้ กิจนั้นทั้งหมดเป็นภาระ
ของข้าพระองค์ ขอเทวะโปรดเสด็จไปเวลาที่ข้าพระองค์ส่งธิดาไปอย่าง
เดียวเถิด พระเจ้าข้า. นับแต่นั้นมา นครสาเกตก็ได้เป็นเหมือนตำบล
บ้านที่นีงานนักษัตรฤกษ์อยู่เป็นนิตย์. ล่วงไป 3 เดือนโดยอาการอย่างนี้.
เครื่องประดับชื่อมหาลดาประสาธน์ สำหรับธิดาของธนัญชัยเศรษฐีก็ยัง

ไม่เสร็จ. ครั้งนั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ประจำงานก็มาบอกธนัญชัยเศรษฐีว่า
ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่มีสำหรับชนเหล่านั้นไม่มีดอก แต่ฟืนใช้หุงต้มสำหรับ
ทหารไม่เพียงพอ. ธนัญชัยเศรษฐีจึงสั่งว่า พ่อเอ๋ย ไปรื้อโรงช้างโรงม้า
เอาไม้มาใช้หุงต้มอาหารเถิด. เมื่อหุงต้มกันอยู่อย่างนี้ล่วงไปครึ่งเดือน
แต่นั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ก็มาบอกอีกว่า ฟืนยังไม่พอ. ธนัญชัยเศรษฐี
ก็สั่งว่า พ่อเอ๋ย ในฤดูนี้เราหาฟืนไม่ได้อีกแล้ว พวกท่านจงเปิดเรือน
คลังผ้า เอาผ้าชนิดหยาบ ๆ มาฟั่นเป็นเกลียวชุบในถังน้ำมัน ใช้หุงต้ม
อาหารเถิด. เมื่อหุงต้มโดยทำนองนี้ก็เต็ม 4 เดือน . ต่อนั้น ธนัญชัย
เศรษฐีรู้ว่าเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์สำหรับธิดาเสร็จแล้ว จึงสั่งว่า
พรุ่งนี้เราจะส่งธิดาไป จึงเรียกธิดาเข้ามานั่งใกล้ ๆ ได้ให้โอวาทว่า ลูกเอ๋ย
ธรรมดาว่าสตรีจะอยู่ในสกุลสานมี ควรจะศึกษามารยาทอย่างนี้ อย่างนี้.
มิคารเศรษฐีนั่งอยู่ภายในห้องก็ได้ยินโอวาทของธนัญชัยเศรษฐี. แม้
ธนัญชัยเศรษฐีก็โอวาทธิดาอย่างนี้ว่า ลูกเอ๋ย ธรรมดาว่าสตรีผู้จะอยู่ใน
สกุลบิดาของสามี ไฟในก็ไม่พึงนำออก ไฟนอกก็ไม่พึงนำเข้า พึงให้
แก่ผู้ที่ให้ ไม่พึงให้แก่ผู้ที่ไม่ให้ พึงให้ทั้งแก่ผู้ที่ให้ ทั้งแก่ผู้ที่ไม่ให้
พึงนั่งเป็นสุข พึงบริโภคเป็นสุข พึงนอนเป็นสุข พึงบำเรอไฟ พึง
นอบน้อมเทวดาภายใน ครั้นให้โอวาท 10 อย่างนี้ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น
ก็ประชุมนายกองทุกกอง จัดกุฎุมพี 8 นัย ในพวกเสนาของพระราชา
เป็นนายประกัน แล้วกล่าวว่า ถ้าความผิดเกิดแก่ธิดาของเราในที่ ๆ ไป
แล้วไชร้ พวกท่านพึงชำระ แล้วให้ประดับธิดาด้วยเครื่องประดับ
มหาลดาประสาธน์ มีค่า 9 โกฏิ ให้ทรัพย์ 54 เล่มเกวียน เป็นมูลค่า
สำหรับผงเครื่องหอมสำหรับผสมน้ำอาบ ให้ทาสีรูปสวยคอยปรนนิบัติใน

เวลาเดินทางประจำธิดา 500 นาง รถเทียมม้าอาชาไนย 500 คัน
สักการะทุกอย่า ๆ ละ 100. ชี้แจงให้พระเจ้าโกศล และมิคารเศรษฐี
ทราบแล้ว เวลาธิดาไป เรียกเจ้าหน้าทีควบคุมดอกโคมา สั่งว่า พ่อเอ๋ย
ในที่ ๆ ธิดาเราไปแล้ว ให้เตรียมโคมาไว้ เพื่อธิดาเราต้องการดื่มน้ำนม.
ให้เตรียมโคใช้งานไว้ เพื่อธิดาเราต้องการเทียมยาน เพราะเหตุนั้น
พวกท่านพึงเปิดประตูคอกโค ในหนทางที่ธิดาเราไป เอาโคใช้ฐาน 8 ตัว
ที่อ้วนพีจัดเป็นด้วยนำฝูงโคถึงซอกเขาชื่อโน้น มีเนื้อที่ประมาณ 3 คาวุต
เมื่อฝูงโคถึงที่นั้นแล้ว พึงตีกลองเป็นสัญญาณให้เปิดประตูคอกโค.
คนเหล่านั้นรับคำของเศรษฐีว่า ดีละ แล้วปฏิบัติตามคำสั่งนั้น. เมื่อประตู
คอกเปิดออกแล้ว แม่โคทั้งหลายที่อ้วนพีก็ออกไป แต่เมื่อประตูปิด
เหล่าใดที่ฝึก โคมีกำลัง และโคดุ ก็โลดแล่นออกไปข้างนอก แล้วเดิน
ตามทางไป เพราะแรงบุญของนางวิสาขา.
ครั้งนั้น เวลาถึงกรุงสาวัตถี นางวิสาขาคิดว่า เราจะนั่งในยาน
ที่ปกปิดเข้าไปหรือยืนบนรถเข้าไปดีหนอ. ขณะนั้น นางดำริว่า เมื่อเรา
เข้าไปด้วยยานที่ปกปิด ความวิเศษของเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์
จักไม่มีใครรู้กันทั่ว นางแสดงตัวทั่วนคร ยืนบนรถเข้าสู่พระนคร.
ชาวกรุงสาวัตถี เห็นสมบัติของนางวิสาขาแล้ว พากันกล่าวว่า เขาว่า
สตรีผู้นี้ ชื่อนางวิสาขา และสมบัติเห็นปานนี้ ก็สมควรแก่นางทีเดียว
นางเข้าไปเรือนมิคารเศรษฐี ด้วยสมบัติอย่างใหญ่ ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในวันที่นางมาถึง ชาวกรุงทั่วไปต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการตามกำลัง
สามารถไปด้วยกล่าวว่า ธนัญชัยเศรษฐีของเราได้กระทำสักการะอย่างใหญ่
แก่ผู้คนที่มาถึงนครของตน. นางวิสาขา สั่งให้ให้เครื่องบรรณาการ

ตอบการที่ชาวกรุงส่งไป ๆ ทั่วไปในสกุลของกันและกันในนครนั้นนั่นเอง.
ขณะนั้น ลำดับอันเป็นส่วนแห่งราตรี แม่ม้าแสนรู้ตัวหนึ่ง ตกลูก.
นางจึงใช้ให้เหล่าทาสีถือคบไฟไปที่นั้น ให้อาบน้ำอุ่นให้แม่ม้า ใช้น้ำมัน
ชโลมตัวให้แม่ม้า แล้วก็กลับไปสถานที่อยู่ของตน. ฝ่ายมิคารเศรษฐี
ทำการฉลองงานอาวาหมงคลแก่บุตร 7 วัน ไม่สนใจพระตถาคตแม้ประทับ
อยู่วิหารใกล้ ๆ วันที่ครบ 7 วัน เชิญเหล่าชีเปลือยให้นั่งเต็มไปทั่วทั้ง
นิเวศน์ ส่งข่าวบอกนางวิสาขาว่า ธิดาของเราจงมาไหว้พระอรหันต์
ทั้งหลาย. นางเป็นพระอริยสาวิกาชั้นโสดาบัน ได้ฟังว่า พระอรหันต์
ทั้งหลาย ดังนี้ ก็ร่าเริงยินดี เดินไปยังสถานที่นั่งของชีเปลือยเหล่านั้น
มองดูชีเปลือยเหล่านั้นแล้วคิดว่า ชีเปลือยเหล่านี้ไม่ใช่พระอรหันต์ จึง
ตำหนิว่า เหตุไรท่านพ่อ จึงให้เรียกข้าพเจ้ามายังสำนักของเหล่าคนที่
เว้นจากหิริโอตตัปปะ ดังนี้ แล้วก็กลับไปสถานที่อยู่ของตนเสีย. เหล่า
ชีเปลือยเห็นนางแล้ว ทั้งหมดก็ติเตียนเศรษฐีในทันทีนั่นแหละว่า ท่าน
คฤหบดี ท่านหาหญิงคนอื่นไม่ได้หรือ เหตุไรท่านจึงเชิญหญิงผู้นี้ซึ่งเป็น
สาวิกาของพระสมณโคดม ตัวกาลกิณีใหญ่ให้เข้าไปในเรือน จงรีบนำ
หญิงผู้นั้นออกไปเสียจากเรือนนี้. ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่าเราไม่อาจขับไล่
หญิงผู้นี้ออกไปจากเรือนตามคำของชีเปลือยเหล่านี้ได้ เพราะหญิงผู้นี้เป็น
ธิดาของสกุลใหญ่ จึงกล่าวว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าต้นหนุ่มสาว
ทั้งหลาย พึงทำทั้งที่รู้บ้างทั้งที่ไม่รู้บ้าง ขอพวกท่านจงนิ่ง ๆ ไว้ แล้วก็
ส่งเหล่าชีเปลือยกลับไป นั่งบนแท่นใหญ่ อันนางวิสาขาถือช้อนทอง
เลี้ยงดูอยู่ บริโภคข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อยในถาดทอง.
สมัยนั้น พระเถระผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เที่ยวไปบิณฑบาตมา

ถึงประตูเรือนของเศรษฐี. นางวิสาขาเห็นพระเถระแล้วคิดว่าไม่ควรบอก
บิดาสามี ดังนี้ ทั้งที่เศรษฐีนั้นก็เห็นพระเถระนั้น ผู้ยังไม่จากไป คง
ยังยืนอยู่อย่างนั้น. แต่เศรษฐีนั้นเป็นคนพาล แม้เห็นพระเถระก็ทำเป็น
เหมือนไม่เห็น ก้มหน้าบริโภคข้าวมธุปายาสเรื่อยไป. นางวิสาขาก็รู้ได้ว่า
บิดาสามีของเราแม้เห็น พระเถระก็ไม่ทำอาการว่าเข้าใจ จึงเข้าไปหา
พระเถระกล่าวว่า โปรดไปข้างหน้าก่อนเถิด เจ้าข้า บิดาสามีของดิฉัน
กำลังกินบุญเก่า. เศรษฐีนั้น เวลาที่เหล่านิครนถ์ว่ากล่าวคราวก่อนก็
อดกลั้นได้ แต่ในขณะที่นางวิสาขากล่าวว่ากินบุญเก่าก็วางมือ สั่งว่า
พวกเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ออกไปจากที่นี้ และจงนำหญิงผู้นี้ออกไป
จากเรือนหลังนี้ ด้วยว่า หญิงผู้นี้ทำให้เราชื่อว่าเป็นผู้กินของไม่สะอาด
ในเรือนมงคลเห็นปานนี้. แต่ว่าในนิเวศน์นั้นแล ทาสและกรรมกรเป็นต้น
ทั้งหมดเป็นสมบัติของนางวิสาขา ไม่มีใคร ๆ สามารถจะจับมือเท้านางได้
ขึ้นชื่อว่าผู้สามารถจะกล่าวด้วยปากก็ไม่มี. เมื่อนางวิสาขาฟังคำของบิดา
สามีแล้วกล่าวว่า ท่านพ่อขา พวกเราจะไม่ออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ดอก ดิฉันก็ไม่ได้ถูกท่านนำมาจากท่าน้ำเหมือนพวกกุมภทาสี ธรรมดาว่า
เหล่าธิดาของบิดามารดาผู้ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ออกไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้
อนึ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้นี่แหละ ในวันที่ดิฉันมาในที่นี้บิดาของดิฉันก็ให้
เรียกกุฎุมพี 8 นายมาสั่งว่า ถ้าความผิดเกิดเพราะธิดาของเรา พวกท่าน
จงช่วยกันชำระแล้วก็มอบดิฉันไว้ในมือของกุฎุมพี 8 นายนั้น ขอท่านพ่อ
โปรดให้เรียกกุฎุมพี 8 นายนั้นมาให้เขาชำระว่าเป็นความผิด หรือมิใช่
ความผิดของดิฉันสิเจ้าคะ. ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่าเด็กหญิงคนนี้พูดดี
จึงให้เรียกกุฎุมพี 8 นายมาสั่งว่า เด็กหญิงคนนี้เรียกเราผู้ซึ่งนั่งในเรือน

มงคลในวันที่ครบ 7 วันว่า เป็นคนกินของไม่สะอาด. กุฎุมพี 8 นาย
นั้น จึงถามนางว่า เขาว่าอย่างนี้จริงหรือแม่หนู. นางตอบว่า พ่อคุณเอ๋ย
ท่านบิดาสามีของดิฉันจักต้องการกินของไม่สะอาดเอง แต่ดิฉันได้พูด
ให้ทำอย่างนั้น. ส่วนเมื่อพระเถระผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งยืนใกล้
ประตูเรือน ท่านบิดานี้กำลังบริโภคมธุปายาสมีน้ำน้อยอยู่ ไม่สนใจ
พระเถระนั้นเลย ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงพูดเท่านี้ว่า ไปข้างหน้าก่อนเถิด
เจ้าข้า บิดาสามีของดิฉันไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ กำลังกินบุญเก่า ๆ อยู่.
กุฎุมพี 8 นายจึงกล่าวว่า แม่เจ้าไม่มีความผิดในข้อนี้ ธิดาของเราพูดมี
เหตุ เหตุไรท่านจึงโกรธเล่า. เศรษฐีกล่าวว่า พ่อเจ้าเอ๋ย ความผิดนั้น
ไม่มีก็ช่างเถิด แต่เด็กหญิงคนนี้ในวันที่มากไม่ให้ความเอาใจใส่ในบุตรเรา
ได้ไปยังสถานที่ตนเองปรารถนา. กุฎุมพี 8 นายถามว่า เขาว่าอย่างนั้น
จริงหรือแม่หนู. นางตอบว่า พ่อคุณเอ๋ย ดิฉันไม่ไปยังที่ ๆ ตนชอบใจ
แต่ในเรือนหลังนี้ เมื่อแม่ม้าแสนรู้ตกลูก ดิฉันคิดว่า ไม่ทำแม้ความ
เอาใจใส่แล้วนั่งเฉย ๆ เสีย ไม่สมควร จึงให้เหล่าทาสีถือคบไฟห้อมล้อม
ไปที่นั่น จึงสั่งให้ดูแลรักษาแม่ม้าที่ตกลูกจ้ะ. กุฎุมพี 8 นายกล่าวว่า
พ่อเจ้า ธิดาของเราได้กระทำกิจกรรมแม้เหล่าทาสีก็ต้องทำในเรือน ท่าน
เห็นโทษอะไรในข้อนี้. เศรษฐีกล่าวว่า พ่อเจ้าเอ๋ย นั่นเป็นคุณความดี
ก็ช่างเถิด แต่บิดาของเด็กหญิงคนนี้ เมื่อให้โอวาทในวันที่มาในที่นี้ก็
กล่าวว่า ไฟในไม่ควรนำออก. กุฎุมพี 8 นายถามนางว่า เขาว่าอย่างนั้น
จริงหรือแม่หนู. นางตอบว่า พ่อคุณเอ๋ย บิดาของดิฉันมิได้พูดหมายถึง
ไฟนั่นดอก แต่เรื่องความลับอันใดของผู้หญิงมีมารดาสามีเป็นต้นเถิดขึ้น
ภายในนิเวศน์ เรื่องความลับอันนั้นไม่ควรบอกแก่เหล่าทาสและทาสี

เพราะว่าเรื่องเห็นปานนั้น มีแต่จะขยายตัวออกไปเป็นการทะเลาะกัน
เพราะฉะนั้น บิดาของดิฉันหมายถึงข้อนี้ จึงพูดจ้ะ พ่อคุณทั้งหลาย.
เศรษฐีกล่าวว่า พ่อคุณเอ๋ย ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นก็ช่างเถิด แต่บิดาของ
เด็กหญิงคนนี้กล่าวว่าไฟนอกไม่ควรนำเข้าไปภายใน ก็เมื่อไฟในดับไป
แล้ว เราไม่นำไฟข้างนอกเข้ามาได้หรือ. กุฎุมพี 8 นายถามนางว่า เขา
ว่าอย่างนั้นจริงหรือแม่หนู. นางตอบว่า บิดาของดิฉันมิได้พูดหมายถึง
ไฟนั้นดอกจ้ะ แต่ความผิดอันใด ที่เหล่าทาสและกรรมกรพูดกัน
ความผิดอันนั้น ไม่ควรบอกเล่าผู้คนภายใน ฯ ล ฯ แม้คำใด ท่านบิดา
กล่าวว่า พึงให้แก่คนที่ให้เท่านั้น คำนั้นท่านก็กล่าวหมายถึงว่า พึงให้
แก่พวกคนที่ยืมเครื่องมือเครื่องใช้แล้วนำมาส่งคืนเท่านั้น. แม้คำที่ว่า
เย น เทนฺติ ท่านก็กล่าวหมายถึงว่า ไม่พึงให้แก่พวกคนที่ยืมเครื่องมือ
เครื่องใช้แล้วไม่นำมาส่งคืน. ส่วนคำนี้ว่า ททนฺตสฺสาปิ อททนฺตสฺ-
สาปิ ทาตพฺพํ
ท่านกล่าวหมายถึงว่า เมื่อญาติมิตรตกยากมาถึงแล้ว เขา
จะสามารถให้ตอบแทน หรือไม่สามารถให้ตอบแทนได้ก็ตาม ก็ควร
ให้ทั้งนั้น. แม้คำนี้ว่า สุขํ นิสิทิตพฺพํ ท่านกล่าวหมายถึงว่า เมื่อดิฉัน
เห็นมารดาบิดาสามีแล้ว ไม่ควรนั่งเฉยในที่ที่ตนควรลุกยืนขึ้น คำว่า
สุขํ ภุญฺชิตพฺพํ ท่านกล่าวหมายถึงว่า ไม่บริโภคก่อนมารดาบิดาสามี
และสามี ควรจะเลี้ยงดูท่านเหล่านั้นแล้ว รู้ว่าทุกท่านได้แล้วหรือยังไม่ได้
อะไร แล้วตนเองบริโภคทีหลัง. คำว่า สุขํ นิปชฺชิตพฺพํ ท่านกล่าว
หมายถึงข้อนี้ว่า ไม่พึงขึ้นที่นอนแล้วนอนก่อน มารดาบิดาสามีและสามี
ต้องทำวัตรปฏิบัติที่สมควรทำแก่ท่านเหล่านั้น แล้วตนเองจึงควรนอน
ทีหลัง. คำว่า อคฺคิ ปริจริตพฺโพ ท่านกล่าวหมายถึงข้อนี้ว่า ควรจะ

เห็นทั้งบิดามารดาสามีทั้งสามี เป็นเหมือนกองไฟและเหมือนพญางู.
เศรษฐีกล่าวว่า จะเป็นคุณเท่านี้ก็ช่างเถิด แต่บิดาของเด็กหญิงคนนี้
ให้นอบน้อมเทวดาภายใน ประโยชน์อะไรของโอวาทนี้. กุฎุมพี 8 นาย
ถามนางว่า เขาว่าอย่างนั้นจริงหรือแม่หนู. นางตอบว่า จริงจ้ะ พ่อคุณ
ทั้งหลาย บิดาของดิฉันกล่าวคำนี้หมายอย่างนี้ ตั้งแต่เราอยู่ครองเรือน
ตามประเพณี เห็นนักบวชมาถึงประตูเรือนของตนแล้วถวายของเคี้ยวของ
ตนที่มีอยู่ในเรือน แก่เหล่านักบวชแล้ว ตนเองจึงควรกิน. ครั้งนั้น
กุฎุมพีเหล่านั้น จึงถามเศรษฐีนั้นว่า ท่านมหาเศรษฐี ท่านเห็นเหล่า
นักบวชแล้ว ที่จะชอบใจว่า ไม่ควรให้ทั้งนั้นหรือ. ท่านเศรษฐีมอง
ไม่เห็นคำตอบอย่างอื่น จึงได้แต่นั่งก้มหน้า.
ครั้งนั้น เหล่ากุฎุมพีจึงถามเศรษฐีนั้นว่า ความผิดอย่างอื่นของธิดา
เรา ยังมีอยู่หรือ. ตอบว่า ไม่มีดอกพ่อคุณ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร
ท่านจึงขับไล่ธิดา ซึ่งไม่มีความผิดออกไปจากเรือนโดยมิใช่เหตุ. ขณะนั้น
นางวิสาขากล่าวว่า ยังไม่ควรไปตามคำของบิดาสามีเราก่อน แต่วันที่เรา
มา บิดาเรามอบเราไว้ในมือพวกท่านเพื่อชำระความผิดเรา บัดนี้เราไปได้
สะดวกแล้วละ จึงสั่งเหล่าทาสีและทาสให้ทำการตระเตรียมยานเป็นต้น
ไว้. คราวนั้น เศรษฐีพากุฎุมพีเหล่านั้น ไป พูดกะนางว่า แม่หนู พ่อไม่รู้
จึงพูดไป จงยกโทษให้พ่อเสียเถิด. นางกล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ดิฉัน
พึงอดโทษแก่พวกท่านได้ จะอดโทษให้ก่อน แต่ดิฉันเป็นธิดาของท่าน
เศรษฐีผู้เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธศาสนา เราเว้นภิกษุสงฆ์เสียมิได้
ถ้าเราได้บำรุงภิกษุสงฆ์ตามชอบใจของเรา เราก็จักอยู่. เศรษฐีกล่าวว่า
แม่หนู เจ้าจงบำรุงเหล่าสมณะของเจ้าได้ตามชอบใจ. ดังนั้น นางวิสาขา

จึงให้นิมนต์พระทศพลอาราธนาให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
นั่งเต็มนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น. แม้บริษัทของชีเปลือยรู้ว่าพระศาสดาเสด็จไป
เรือนมิคารเศรษฐี ก็ไปที่นั้นพากันนั่งล้อมเรือนไว้. นางวิสาขาให้น้ำ
ทักษิโณทกแล้วส่งข่าวบอกว่า สักการะทุกอย่างจัดไว้แล้ว ขอท่านบิดา
สามีของเราโปรดจงมาเลี้ยงดูพระทศพล. เศรษฐีนั้นฟังคำของนาง
วิสาขาแล้วก็กล่าวว่า อธิดาของเราจงเลี้ยงดูพระสัมมาสัมพุทธะเถิด
นางวิสาขาครั้นเลี้ยงดูพระทศพลด้วยภัตตาหารเลิศรสต่าง ๆ แล้ว ครั้น
เสร็จภัตกิจแล้วก็ส่งข่าวไปอีกว่า ขอท่านบิดาสามีของเราโปรดมาฟัง
ธรรมกถาของพระทศพล. ลำดับนั้น เศรษฐีนั้นก็ไปเพื่อประสงค์จะฟัง
ธรรมกถาว่า บัดนี้ชื่อว่าการไม่ไป เป็นเหตุไม่สมควรอย่างยิ่ง เหล่า
ชีเปลือยก็กล่าวว่า ท่านเมื่อฟังธรรมของพระสมณโคดมก็จงนั่งฟังนอก
ม่าน แล้วก็พากันไปก่อนกั้นม่านไว้. มิคารเศรษฐีไปนั่งนอกม่าน.
พระตถาคตทรงพระดำริว่า ท่านจะนั่งนอกม่านก็ตาม นอกฝาเรือน
ก็ตาม นอกแผ่นหินก็ตาม หรือนอกจักรวาลก็ตาม เราชื่อว่าพระพุทธเจ้า
สามารถนำท่านให้ได้ยินเสียงของเราได้ จึงตรัสธรรมกถาประหนึ่งว่าจับ
ลำต้นมะม่วงเขย่าให้ผลมีสีดังทองหล่นลงอยู่ฉะนั้น จบเทศนา เศรษฐี
ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ยกม่านขึ้นถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ในสำนักพระศาสดานั่งเอง ก็สถาปนานางวิสาขา
ไว้ในตำแหน่งมารดาของตนว่า แม่หนู จงเป็นมารดาของเราตั้งแต่วันนี้
ไป. ตั้งแต่นั้นมา นางวิสาขาจึงมีชื่อว่ามิคารมารดา.
วันหนึ่ง เมื่อสมัยนักษัตรฤกษ์ดำเนินไปในพระนคร นางวิสาขา
ก็คิดว่า ไม่มีคุณในการอยู่ในพระนคร จึงห้อมล้อมด้วยทาสีเดินไปฟัง

ธรรมกถาของพระศาสดา แต่ฉุกคิดว่าไปสำนักพระศาสดาด้วยทั้งเพศทีมี
เครื่องห่มคลุมไม่บังควร จึงเปลื้องเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์ออก
มอบไว้ในมือทาสี เข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
ส่วนหนึ่ง. พระศาสดาตรัสธรรมกถา. จบพระธรรมเทศนาของพระศาสดา
นางจึงถวายบังคมพระทศพลแล้วเดินมุ่งหน้าสู่พระนคร. ทาสีแม้นั้นไม่ทัน
กำหนดสถานที่นางวางเครื่องประดับซึ่งตนรับไว้ จึงเดินกลับไป เพื่อ
หาเครื่องประดับ. ขณะนั้น นางวิสาขาจึงสอบถามทาสีนั้นว่า เจ้าวาง
เครื่องประดับไว้ตรงไหน. ทาสีตอบว่า ที่บริเวณพระคันธกุฎีจ้ะแม่เจ้า.
นางวิสาขากล่าวว่า ช่างเถิด เจ้าจงไปนำมา นับตั้งแต่เจ้าวางของไว้
บริเวณพระคันธกุฎีแล้ว ชื่อว่าการให้นำของกลับมาไม่สมควรแก่เรา
เพราะเหตุนั้น เราจำจักสละเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์นั้น ทำเป็น
ทัณฑกรรม แต่เมื่อเครื่องประดับนั้นยังวางไว้ พระคุณเจ้าทั้งหลายก็คง
เป็นกังวล. วันรุ่งขึ้น พระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จถึงประตู
นิเวศน์ของนางวิสาขา. ก็ในนิเวศน์จัดอาสนะไว้เป็นประจำ. นางวิสาขา
รับบาตของพระศาสดา อาราธนาให้เสด็จเข้าเรือนให้ประทับนั่งเหนือ
อาสนะที่จัดไว้แล้วนั่นแหละ เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จ ก็นำเครื่องประดับ
นั้นไปวางไว้ใกล้พระบาทของพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์ถวายเครื่องประดับนี้แด่พระองค์เจ้าค่ะ. พระศาสดา
ตรัสห้ามว่า ขึ้นชื่อว่าเครื่องประดับย่อมไม่สมควรแก่เหล่านักบวช. นาง
วิสาขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ แต่ข้าพระองค์
จะจำหน่ายเครื่องประดับนี้ เอาทรัพย์มาสร้างพระคันธกุฎีเป็นที่อยู่สำหรับ
พระองค์ เจ้าค่ะ ตรงนั้น พระศาสดาก็ทรงรับโดยดุษณี. แม้นางวิสาขา

นั้น. ก็จำหน่ายเครื่องประดับนั้น เอาทรัพย์ 9 โกฏิมาสร้างพระคันธกุฎี
เป็นที่ประทับอยู่สำหรับพระตถาคตในวิหารชื่อว่าบุพพาราม อันประดับ
ด้วยห้อง 1,000 ห้อง.
ก็นิเวศน์ของนางวิสาขา เวลาเช้าก็มลังเมลืองด้วยผ้ากาสาวะ
คลาคล่ำไปด้วยนักแสวงบุญ. ในเรือนแม้ของนางวิสาขานั้น ก็จัดทานไว้
พร้อมสรรพเหมือนในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. นางวิสาขานั้น
เวลาเช้าก็ทำอานิสสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์ ภายหลังอาหารก็ให้บ่าวไพร่
ถือเภสัช ยา และน้ำอัฐบานไปยังวิหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ฟังพระธรรม-
เทศนาของพระศาสดาแล้วก็กลับมา. ภายหลังต่อมา พระศาสดาเมื่อทรง
สถาปนาเหล่าอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนา
นางวิสาชามิคารมารดาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา
ผู้ชายทาน
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 2

อรรถกถาสูตรที่ 3 - 4


3 - 4 ประวัตินางขุชุตตราและนางสามาวดี



ในสูตรที่ 3 และที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
โดยบทว่า พหุสฺสุตานํ ยทิทํ ขุชฺชุตฺตรา เมตฺตาวิหารีนํ ยทิทํ
สามาวตี
ท่านแสดงว่า นางขุชชุตตราเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้เป็น
พหูสูต. นางสามาวดีเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา.
ได้ยินว่า แม้นางทั้งสองครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมาคิดกันว่าจักฟังธรรมกถาของ